ทีมใหญ่มากันครบ, จอร์เจีย สร้างเซอร์ไพรส์! คอนเฟิร์ม 16 ทีมลุยรอบน็อกเอาต์ ยูโร 2024
ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2024” ที่ประเทศเยอรมนี เดินทางผ่านรอบแบ่งกลุ่มเป็นที่เรียบร้อย หลังเสร็จสิ้นการแข่งขันในกลุ่ม อี และ เอฟ เมื่อคืนวันพุธที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งนั่นหมายความว่า ตอนนี้เราได้บรรดาทีมที่ผ่านเข้าไปลุยต่อในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ครบแล้ว โดยเหล่าทีมเต็งแชมป์อย่าง ฝรั่งเศส, อังกฤษ, สเปน, เยอรมนี, โปรตุเกส, เบลเยียม และ เนเธอร์แลนด์ มากันครบ และนี่คือทั้ง 16 ทีมที่ได้มาถึงรอบน็อกเอาต์ ซึ่งมาจากทีมแชมป์และรองแชมป์ของทั้งหกกลุ่ม บวกกับ 4 ทีมอันดับสามที่ผลงานดีสุด
– เยอรมนี (เจ้าภาพ, แชมป์กลุ่ม เอ)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ สกอตแลนด์ 5-1, ชนะ ฮังการี 2-0, เสมอ สวิตเซอร์แลนด์ 1-1
ทัพ “อินทรีเหล็ก” ของกุนซือ ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ เข้ารอบตามคาด และเป็นการเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มด้วย ซึ่งก็ต้องขอบคุณประตูช่วงทดเจ็บของ นิคลาส ฟูลล์ครูก ที่โหม่งช่วยทีมตีเสมอ สวิตเซอร์แลนด์ ในแมตช์สุดท้าย
—–
– สวิตเซอร์แลนด์ (รองแชมป์กลุ่ม เอ)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ ฮังการี 3-1, เสมอ สกอตแลนด์ 1-1, เสมอ เยอรมนี 1-1
ทีมของกุนซือ มูรัต ยาคิน มาดีเกินคาด จบรอบแบ่งกลุ่มแบบไม่แพ้ใคร และเกือบได้แชมป์กลุ่มด้วย หากไม่โดน เยอรมนี ตีเสมอช่วงทดเจ็บ
—–
– สเปน (แชมป์กลุ่ม บี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ โครเอเชีย 3-0, ชนะ อิตาลี 1-0, ชนะ แอลเบเนีย 1-0
ทัพ “กระทิงดุ” ภายใต้การคุมทีมของ หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ ปิดฉากรอบแบ่งกลุ่มด้วยผลงานสุดหรู โดยพวกเขาเป็นทีมเดียวของทัวร์นาเมนต์ที่คว้าชัยรวดแบบ 100% และเป็นทีมเดียวเช่นกันที่ยังไม่เสียประตูเลย
+++++
– อิตาลี (รองแชมป์กลุ่ม บี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ แอลเบเนีย 2-1, แพ้ สเปน 0-1, เสมอ โครเอเชีย 1-1
ทีมแชมป์เก่า ผ่านเข้ารอบแบบกระท่อนกระแท่นพอสมควร ซึ่งเกมสุดท้ายเกือบโดน โครเอเชีย แซงเป็นรองแชมป์กลุ่มด้วย หากไม่ได้ประตูสุดสวยในนาทีที่ 90+8 ของ มัตเตีย ซัคคานญี่ เซฟแต้มเอาไว้
+++++
– อังกฤษ (แชมป์กลุ่ม ซี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ เซอร์เบีย 1-0, เสมอ เดนมาร์ก 1-1, เสมอ สโลวีเนีย 0-0
ถึงแม้ฟอร์มไม่หรู ดูไม่คู่ควรกับการเป็นทีมเต็งแชมป์ แต่ทัพ “สิงโตคำราม” ของกุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็ยังสามารถผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม และเสียแค่ประตูเดียวเท่านั้น
+++++
– เดนมาร์ก (รองแชมป์กลุ่ม ซี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : เสมอ สโลวีเนีย 1-1, เสมอ อังกฤษ 1-1, เสมอ เซอร์เบีย 0-0
อดีตแชมป์ในปี 1992 เข้ารอบแบบที่ไม่ชนะใคร และไม่แพ้ใคร โดยพวกเขาได้สิทธิ์เข้าป้ายอันดับสองของกลุ่ม ด้วยการที่มีคะแนนด้านวินัยดีกว่า สโลวีเนีย ซึ่งมีแต้ม, เฮด-ทู-เฮด และผลต่างประตูได้-เสีย เท่ากันหมด
+++++
– สโลวีเนีย (อันดับสามกลุ่ม ซี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : เสมอ เดนมาร์ก 1-1, เสมอ เซอร์เบีย 1-1, เสมอ อังกฤษ 0-0
ถึงแม้จบที่อันดับสามเพราะเรื่องแฟร์เพลย์ แต่พวกเขาก็ยังได้ไปต่อ ในฐานะหนึ่งในทีมอันดับสามที่ผลงานดีสุด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ สโลวีเนีย ที่สามารถผ่านเข้าไปลุยในรอบน็อกเอาต์ศึก ยูโร ด้วย
+++++
– ออสเตรีย (แชมป์กลุ่ม ดี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : แพ้ ฝรั่งเศส 0-1, ชนะ โปแลนด์ 3-1, ชนะ เนเธอร์แลนด์ 3-2
ทีมของกุนซือ ราล์ฟ รังนิค ทำผลงานเยี่ยมชนิดหักปากกาเซียน โดยออกสตาร์ทด้วยการปราชัย แต่ได้เฮรวดในสองเกมหลัง เข้าป้ายแชมป์กลุ่มอย่างสง่างาม ทั้งๆ ที่มีเต็งแชมป์ ยูโร หนนี้อย่าง ฝรั่งเศส และ เนเธอร์แลนด์ เป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม
+++++
– ฝรั่งเศส (รองแชมป์กลุ่ม ดี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ ออสเตรีย 1-0, เสมอ เนเธอร์แลนด์ 0-0, เสมอ โปแลนด์ 1-1
“ตราไก่” แชมป์สองสมัย ที่มีกุนซือ ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ คุมทัพ เข้ารอบแบบไม่ค่อยน่าประทับใจนัก ในแง่ของฟอร์มการเล่น โดยถึงแม้พวกเขาไม่แพ้ใคร แต่ทำได้แค่สองประตูเท่านั้น ซึ่งมาจากการทำโอว์นโกลของนักเตะทีมคู่แข่ง และลูกจุดโทษของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้
+++++
– เนเธอร์แลนด์ (อันดับสามกลุ่ม ดี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ โปแลนด์ 2-1, เสมอ ฝรั่งเศส 0-0, แพ้ ออสเตรีย 2-3
ทัพ “อัศวินสีส้ม” ของกุนซือ โรนัลด์ คูมัน หล่นไปอยู่อันดับสาม เพราะดันแพ้ ออสเตรีย ในเกมสุดท้าย แต่ด้วยการที่มี 4 แต้ม มันก็เพียงพอต่อการเป็นหนึ่งในทีมอันดับสามที่ผลงานดีสุด และได้ไปลุยต่อในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
+++++
– โรมาเนีย (แชมป์กลุ่ม อี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ ยูเครน 3-0, แพ้ เบลเยียม 0-2, เสมอ สโลวาเกีย 1-1
กลุ่มนี้จบลงด้วยการที่ทั้ง โรมาเนีย, เบลเยียม, สโลวาเกีย และ ยูเครน มี 4 แต้มเท่ากัน แต่ทัพลูกหนังแดนผีดิบเข้าป้ายเป็นแชมป์กลุ่ม เพราะมีสถิติดีสุดในเรื่องประตูได้-เสีย ซึ่งก็ถือว่าพลิกความคาดหมายไม่น้อย
+++++
– เบลเยียม (รองแชมป์กลุ่ม อี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : แพ้ สโลวาเกีย 0-1, ชนะ โรมาเนีย 2-0, เสมอ ยูเครน 0-0
ทัพ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ถูกมองเป็นเต็งแชมป์ของกลุ่ม แต่เล่นผิดฟอร์มพอสมควร โดยเฉพาะ โรเมลู ลูกากู หัวหอกตัวเก่ง ที่ยังไม่มีสกอร์ ทั้งที่มีโอกาสเพียบตลอดการเล่น 3 เกม แต่พวกเขาก็ยังทำได้ดีพอคว้าอันดับสองของกลุ่ม ซึ่งก็ต้องขอบคุณ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ทำผลงานได้ดี พร้อมคว้ารางวัล “Player of the Match” 2 เกม
+++++
– สโลวาเกีย (อันดับสามกลุ่ม อี)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ เบลเยียม 1-0, แพ้ ยูเครน 1-2, เสมอ โรมาเนีย 1-1
สร้างเซอร์ไพรส์โค่น เบลเยียม ตั้งแต่นัดแรก แม้สองนัดต่อมาไม่ชนะเลย แต่พวกเขาก็สามารถเบียดเข้ารอบฐานะหนึ่งในสี่ทีมอันดับสามที่ผลงานดีสุด ถือเป็นหนสองที่ สโลวาเกีย ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ศึก ยูโร ต่อจากปี 2016
+++++
– โปรตุเกส (แชมป์กลุ่ม เอฟ)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ เช็ก 2-1, ชนะ ตุรกี 3-0, แพ้ จอร์เจีย 0-2
เสียฟอร์มไปนิดที่พ่าย จอร์เจีย ในนัดสุดท้าย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะพวกเขาการันตีเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ตั้งแต่หลังจบเกมทุบ ตุรกี แล้ว แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงเล่นทั้งสามเกม ยังทำประตูไม่ได้ มีแค่แอสซิสต์เดียวเท่านั้น
+++++
– ตุรกี (รองแชมป์กลุ่ม เอฟ)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ จอร์เจีย 3-1, แพ้ โปรตุเกส 0-3, ชนะ เช็ก 2-1
ทัพไก่งวง แพ้ โปรตุเกส แบบสู้ไม่ได้ในแมตช์ที่สอง แต่อีกสองนัดเก็บชัยได้หมด โดยเฉพาะนัดสุดท้ายที่เชือด เช็ก พวกเขามาได้ประตูชัยนาทีที่ 90+4 จาก เจง โทซุน พลิกสถานการณ์กลายเป็นเข้ารอบฐานะรองแชมป์กลุ่ม และถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ยูโร 2008 ที่ ตุรกี ก้าวผ่านจากรอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ
+++++
– จอร์เจีย (อันดับสามกลุ่ม เอฟ)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : แพ้ ตุรกี 1-3, เสมอ เช็ก 1-1, ชนะ โปรตุเกส 2-0
เข้ามาโชว์ฝีเท้าในศึก ยูโร ครั้งแรก และสามารถเดินหน้าเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ทันที ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะ จอร์จส์ มิเคาตัดเซ่ กองหน้าตัวเก่งจาก เม็ตซ์ ที่โชว์ฟอร์มเด่นสุดๆ ทำ 3 ประตู กับ 1 แอสซิสต์
+++++
ประกบคู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย พร้อมวันและเวลาการแข่งขัน
– วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน, เวลา 23.00 น : สวิตเซอร์แลนด์ พบ อิตาลี
– วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน, เวลา 02.00 น. : เยอรมนี พบ เดนมาร์ก
– วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน, เวลา 23.00 น. : อังกฤษ พบ สโลวาเกีย
– วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน, เวลา 02.00 น. : สเปน พบ จอร์เจีย
– วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม, เวลา 23.00 น. : ฝรั่งเศส พบ เบลเยียม
– วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม, เวลา 02.00 น. : โปรตุเกส พบ สโลวีเนีย
– วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม, เวลา 23.00 น. : โรมาเนีย พบ เนเธอร์แลนด์
– วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม, เวลา 02.00 น. : ออสเตรีย พบ ตุรกี